ภาพยนตร์ เรื่องแต่งที่สมจริงสมจัง เล่าอิงคอมเมดี้แต่ซ่อนเร้นซีเรียส
กล่าวถึงธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงามอันโด่งดังของประเทศเกาหลี
กับเรื่องราวของสองชายหนุ่มผู้หิวเงินกระหายความสำเร็จ โดย ‘มาดงซอก’ และ ‘จองคยองโฮ‘
Men of Plastic เป็น ภาพยนตร์ คอมเมดี้
บนท้องเรื่องของธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงามแห่งบริเวณอัพกูจอง เขตคังนัม ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ
โดยมีตัวชูโรงของเรื่องเป็น ‘มาดงซอก‘ ที่พึ่งจะสร้างปรากฏการณ์หนังทำเงินสูงสุดไปเมื่อต้นปีจากเรื่อง The Roundup
ว่ากันแล้ว ผลตอบรับของ Men of Plastic นั้นอาจไม่ปังมากนักในเกาหลี คาดว่าคงเป็นด้วยเหตุว่าข้อความสำคัญเรื่องราวธุรกิจที่นำมาเล่า เป็นสิ่งที่รู้ ๆ กันมานานนมอยู่ในชีวิตคนประเทศเกาหลี ด้วยเรื่องความสวยความงามนั้นเป็นเรื่องของทุกคนในประเทศ เรียกได้ว่าสิ่งนี้เกือบจะกลายเป็นของขวัญเบื้องต้น
ที่เมื่อเรียนจบที่พ่อแม่ต้องมอบให้ลูก เพื่อเป็นต้นทุนเสริมความมั่นใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน
นอกจากนี้ตัวหนังก็บางทีอาจขาดข้อความสำคัญกินใจ กับมุกขบขันที่ไม่โดดแหวกจนโดนใจ แตกต่างจากหนังคอมเมดี้ที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาอย่าง Extreme Job (2019) หรือ 6/45 (2022) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าหนังตลกนี่เป็นงานยากสุดละ
เพราะขำของพวกเราอาจไม่ขำของคนอื่น ขำยังไงให้สากล เข้าถึงได้แม้จะต่างบริบทต่างวัฒนธรรมกัน
แต่แต่ว่าสำหรับผู้ชมนอกเกาหลี ผู้เขียนเห็นมุมที่น่าสนใจไม่น้อย อันดับแรกเลยคือ การเจาะลึกธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงาม ซึ่งเป็นข้อความสำคัญที่คนไทยเดี๋ยวนี้ติดตามและให้ความสนใจออกจะมาก
หนังเริ่มต้นเรื่องที่ปี 2007 ในยุคต้น ๆ ที่พึ่งจะคิดใช้มีดหมอมาเนรมิตความงาม
ต้องบอกก่อนว่าเนื้อหาของหนังเป็นเรื่องแต่งขึ้น แต่มั่นใจว่าอิงความเป็นจริงมาด้วยล่ะ จึงเสมือนสะท้อนปัญหาหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น หมอเก่ง ๆ ถูกใช้ให้เป็นเพียงหมอเงา หรือก็คือรับจ๊อบลงมือผ่าแทนด้วยค่าตอบแทนถูก ๆ โดยผู้เจ็บป่วยไม่เคยทราบรวมทั้งถูกเรียกเก็บเงินแพง ๆ ส่วนเจ้าของเงินทุนที่กล้าลุยกับธุรกิจใหม่ก็มักเป็นผู้มีเบื้องหลังการหาเงินที่ไม่สะอาดนัก ถึงกล้าพร้อมเสี่ยงได้ และก็เมื่อลงทุนและก็ย่อมมีอุบายในการโกยเงิน ยกตัวอย่างเช่น การใช้เวชภัณฑ์เถื่อนเพื่อลดต้นทุนโดยไม่สนเรื่องจรรยาบรรณ หรือการเน้นปั่นยอดจำหน่ายสูง ๆ
โดยไม่ได้เอาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าเป็นตัวตั้ง ขาดจรรยาบรรณความเป็นมีออาชีพที่ควรปฏิบัติ สมกับชื่อไทยของหนังที่ว่า ‘อัพกูจอง หลอกมาอัพ จัดมาลวง’
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ พัคจีอู (รับบทโดย จองคยองโฮ) แพทย์ศัลยกรรมฝีมือดีแต่ดันเจอปัญหาหุ้นส่วนธุรกิจหักหลัง ต้องแบกรับความผิดแทน ทำให้ถูกระงับใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ไป 2 ปี แถมยังพ่วงหนี้สินก้อนโตติดตัวมาด้วย แต่ความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีแล้วก็เลือกงาน ทำให้เขายังหาที่พอดีไม่ได้สักที ในขณะที่เจ้าหนี้อันธพาลก็คอยตามติดทวงหนี้ให้รำคาญใจ
เขาได้บังเอิญเจอกับ คังแทกุก (สวมบทโดย มาดงซอก) คนพื้นเพอัพกูจองที่ไม่เคยทราบที่มาจนดูเสมือนขาดความน่าไว้วางใจ แทกุกเอาแต่วนเวียนไปทั่วอัพกูจอง ด้วยร่างล่ำบึ้กในเสื้อผ้าลำลองชิล ๆ สีฉูดฉาดสะดุดตา (สื่อความอิสระนอกกรอบ) วางมาดคุยโวน้ำไหลไฟดับในเรื่องเส้นสายแล้วก็สกิลการเป็นตัวกลางเชื่อมธุรกิจให้เกิด เรียกว่าจับความต้องการของ A และ B มาจิ๊กซอว์กันด้วยมือไม่
ไป ๆ มา ๆ คังแทกุก ก็สามารถใช้วาทศิลปร่วมกับกลเม็ดในการไขปัญหา คะยั้นคะยอให้ พัคจีอู วางใจร่วมทำธุรกิจกับเขาในฐานะหุ้นส่วน โดยมีนายทุนเป็นนักธุรกิจใหญ่ชาวจีนซึ่งบริหารงานผ่านอดีตนักเลงดังในพื้นที่ จีอูและก็แทกุกก็เลยเสมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อกันได้พอดีพอดีกับนายทุนเหมือนกัน
สิ่งที่เราจะได้เห็นตามมาก็คือ
ความไอเดียสุดเลิศหรูของแทกุก ‘เล็ก ๆ ไม่..ใหญ่ๆต้องแทกุกเท่านั้น’ เป็นที่มาของ ศูนย์ศัลยกรรมความงามครบวงจรในอาคาร 15 ชั้นที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ความตลกร้ายของการบิดตำราการตลาดให้ Weird
ปนฮา ไม่ว่าจะเป็นการปรับสกิลพนักงาน, การเจาะลูกค้านักท่องเที่ยวจีน, แพ็กเกจเหมา ๆ สุดคุ้มยกเครื่องทั้งตัว, การโปรโมตสร้างแบรนด์ผ่านสื่อแมส ชวนเชื่อด้วยเทคนิค Before VS After บลา..บลา…บลา… แน่นอนว่าทุ่มครบ 4P/7P ขนาดนี้ ธุรกิจก็เลยรุ่งโรจน์สุดๆจนทั้งคู่แฮปปี้ กวาดเงินและโกยเกียรติศักดิ์สมใจแบบสุด ๆ
ภาพยนตร์ เดินเรื่องในจังหวะคล่องแคล่วมาก
แว๊บเดียวก็เข้าสู่องก์ที่สาม ข้อเสียของธุรกิจที่เกิดจากความโลภ การเสี่ยงเกินตัว และก็ความไม่สุจริตในวิชาชีพ ที่สุมรวมกันเอาไว้ ในที่สุดก็ได้เวลาย้อนกลับมาโจมตีตัวตั้งต้น ยิ่งอยู่ท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรดในวงการ จึงยิ่งโหยกเหยกอีกทั้งธุรกิจและมิตรภาพรหว่าง แทกุก กับ จีอู อย่างเกินคาด
ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายที่สมน้ำสมเนื้อกับการหากินบนความงาม ‘พลาสติก’ ที่เล่นกับความเลียนแบบรวมทั้งความลวง โดยยิ่งไปกว่านั้นด้านตัวผู้สร้างซึ่งไม่มีจรรยาบรรณ จนกระทั่งย้อนกลับมาทำให้ทั้งแทกุกรวมทั้งจีอูต้องเผชิญเรื่องลวงหลอกกลับเช่นกัน วิกฤตนี้จะสาหัสขนาดไหน แล้วก็พวกเขาจะได้สติฟันฝ่ารอดมาได้หรือเปล่าอย่างไร ต้องติดตามกันดู
ก็ราวกับจะพอสรุปได้ว่า ในด้านการสร้างธุรกิจให้เกิด ถ้ามีไอเดียก็ต้องมีทุน มีคนเก่งก็ต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพด้วย มีหุ้นส่วนดีคือมีชัยไปครึ่งหนึ่งละ แล้วก็ถ้าดูจบแบบอินตามในความเหมือนจริง ก็ชักชวนให้ตั้งคำถามขำ ๆ ว่า ‘ถ้าไม่ได้สองคู่หูที่บุกเบิกบ้าบิ่นนี้ ย่านอัพกูจองของเกาหลีจะพัฒนากลายเป็นขุมทองของ K-Beauty ที่โด่งดังน่าไว้วางใจไป
ทั่วโลกได้แก่ทุกวันนี้ได้หรือไม่?’
นี่เป็นตลกร้ายที่เชิญขำที่สุดของเรื่องแล้ว เนื่องจากส่วนตัวผู้เขียนว่ามุกตลกโปกฮาในเรื่องมันออกจะฝืด ๆ จืด ๆ ไปหน่อยนะ
สำหรับนักแสดง นอกจากสองนักแสดงหลักอย่าง มาดงซอก และก็ จองคยองโฮ แล้ว ก็ยังเสริมทีมสมทบและก็รับเชิญด้วย ทั้งยัง โอนารา, โอยอนซอ (สองโอนี้สวยกริ๊บมากทั้งคู่ จนอยากได้เบ้าไปผ่าตัดตามมั่ง ^^) ชเวบยองโม, กิลแฮยอน, ฮันโบรึม, จินซอนกยู รวมทั้ง จองจีโซ